วันอาทิตย์, 13 กรกฎาคม 2568

IP Address มีความจำเป็นและความสำคัญอย่างไร

IP Address คืออะไร?

IP Address หรือที่รู้จักกัน เป็น “ที่อยู่ไอพี” คือหมายเลขเฉพาะที่ถูกกำหนดให้กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในโลกดิจิทัล โดยมันทำหน้าที่เป็นตัวระบุในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆในเครือข่ายนั้นๆ ที่อยู่ไอพีมี สองประเภทหลัก คือ IPv4 และ IPv6 ซึ่งทั้งสองแบบมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน

IPv4 เป็นที่อยู่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีรูปแบบเป็นชุดตัวเลข 4 ชุด แบ่งด้วยจุด เช่น 192.168.1.1 ซึ่งมีจำนวนที่อยู่ทั้งหมดประมาณ 4.3 พันล้านที่อยู่ แม้ว่า IPv4 จะยังคงถูกใช้อย่างแพร่หลาย แต่จำนวนที่อยู่ที่มีอยู่เริ่มหมดไป ทำให้จำเป็นต้องมีการพัฒนาและย้ายไปสู่ IPv6

IPv6 เป็นที่อยู่ไอพีแบบใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองการเติบโตของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยใช้รูปแบบที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้สามารถสร้างที่อยู่ได้มากถึง 340 trillion trillion trillion ที่อยู่ โดยมีรูปแบบเป็นชุดตัวเลข HEX ที่แบ่งองค์ประกอบเป็น 8 ชุด ซึ่งทำให้มีความจุในการจัดเก็บที่อยู่มากขึ้น

นอกจากความแตกต่างระหว่าง IPv4 และ IPv6 แล้ว ยังมีความสำคัญในการทำงานร่วมกับโพรโทคอล OSI 7 Layer ซึ่งส่งผลให้ทั้งสองประเภทของที่อยู่ไอพีสามารถเชื่อมโยงข้อมูลและสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไม่มีขีดจำกัด โดยรวมแล้ว ที่อยู่ไอพีจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้การสื่อสารในเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของ IP Address

IP Address (Internet Protocol Address) เป็นหมายเลขที่ใช้ในการระบุอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ในเครือข่าย โดยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้นต้องการวิธีการระบุและระบุตำแหน่งอุปกรณ์ภายในเครือข่ายให้ชัดเจน และ IP Address คือเครื่องมือหลักที่ช่วยให้การระบุดังกล่าวเป็นไปได้

IP Address ทำหน้าที่เป็นที่อยู่ดิจิทัลสำหรับทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น IPv4 และ IPv6 โดย IPv4 ใช้ระบบหมายเลขที่มีความยาว 32 บิต ซึ่งให้ที่อยู่ได้ประมาณ 4.3 พันล้านที่อยู่ แต่การเติบโตของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตทำให้ที่อยู่เหล่านี้เริ่มขาดแคลน จึงมีการพัฒนา IPv6 ซึ่งมีความยาว 128 บิต ให้สามารถรองรับที่อยู่ได้มากขึ้น

เมื่อพิจารณาถึงคุณค่าของ IP Address จึงเห็นได้ชัดว่ามันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต และการสื่อสารในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และช่วยให้กระบวนการสื่อสารเดินหน้าไปอย่างราบรื่น

วิธีการทำงานของ IP Address

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จัดการการสื่อสารของข้อมูลระหว่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยที่ IP Address คือกุญแจสำคัญของกระบวนการนี้ กุญแจนี้ใช้ในการกำหนดตำแหน่งที่อยู่ของอุปกรณ์บนเครือข่าย เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทางอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

เมื่อมีการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอุปกรณ์อีกเครื่องหนึ่ง ข้อมูลจะถูกแบ่งออกเป็นแพ็กเก็ตและแต่ละแพ็กเก็ตจะมีรายละเอียดของทั้งต้นทางและปลายทาง ซึ่งถูกระบุโดย IP Address ที่เฉพาะเจาะจง ในกระบวนการนี้ โพรโตคอล OSI 7 Layer ทำงานเป็นโครงสร้างเบื้องหลัง โดยที่แต่ละเลเยอร์มีหน้าที่เฉพาะเพื่อจัดการการส่งข้อมูลอย่างเป็นระบบ

เลเยอร์ที่สำคัญที่จะกล่าวถึงคือเลเยอร์เครือข่าย ซึ่งจะทำหน้าที่ในการกำหนดเส้นทางของแพ็กเก็ตข้อมูลจากต้นทางมายังปลายทาง ในระหว่างขั้นตอนนี้ แพ็กเก็ตจะสามารถผ่านอุปกรณ์เช่นเร้าเตอร์ที่ทำการตรวจสอบ IP Address และส่งเส้นทางที่เหมาะสมเพื่อให้ถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว

การมี IP Address ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากหากเกิดข้อผิดพลาดในการกำหนดที่อยู่ อาจทำให้ข้อมูลไม่สามารถส่งไปถึงปลายทางที่ต้องการได้ นอกจากนี้ยังสามารถเกิดปัญหาในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย ทั้งนี้สรุปได้ว่า IP Address ทำหน้าที่อย่างสำคัญในการระบุและส่งข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพในเครือข่ายที่ซับซ้อนนี้

การแบ่งประเภทของ IP Address

การเข้าใจประเภทต่าง ๆ ของ IP Address เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดการระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network System) ให้มีประสิทธิภาพ โดย IP Address สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ Static IP, Dynamic IP, Public IP, และ Private IP ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะการใช้งานและความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป

  • เริ่มต้นที่ Static IP Address ซึ่งเป็นที่อยู่ IP ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ได้มาจนถึงการยกเลิกการใช้งาน มักใช้ในเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์ที่ต้องการการเชื่อมต่อที่ถูกต้องและคงที่ เช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์หรือเครื่องพิมพ์ภายในบริเวณองค์กร การใช้ Static IP ช่วยให้การเข้าถึงระบบต่าง ๆ ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่ต้องอาศัยการยืนยันไอพีใหม่ทุกครั้ง
  • ต่อมา คือ Dynamic IP Address ซึ่งมักจะถูกมอบให้กับผู้ใช้งานเมื่อทำการเชื่อมต่อกับเครือข่าย ระบบจะทำการจัดสรร IP Address โดยอัตโนมัติผ่าน DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) ช่วยประหยัดที่อยู่ IP และทำให้การจัดการเครือข่ายมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่เชื่อมต่อเครือข่ายเป็นประจำแต่ไม่ต้องการ IP Address ตายตัว
  • ในด้านของ Public IP Address จะเป็นที่อยู่ที่สามารถเข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็น IP Address ที่จัดสรรให้กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะ เราอาจใช้ Public IP สำหรับการตั้งเซิร์ฟเวอร์เว็บหรือบริการคลาวด์ ที่ต้องการให้คนอื่นเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง
  • ในขณะที่ Private IP Address เป็นที่อยู่ที่ใช้ภายในองค์กรหรือเครือข่ายส่วนตัวเท่านั้น มักเป็นที่อยู่ที่อยู่ในช่วงเฉพาะซึ่งไม่สามารถเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง การใช้ Private IP ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และลดการใช้ที่อยู่ IP สาธารณะ ทำให้การจัดการระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความง่ายดายและประหยัดมากขึ้น

IPv4จะเป็นหมายเลขที่มีทั้งหมด 32 บิต แบ่งเป็นช่วงละ 8 บิต โดยตัวเลข 8 นี้ก็จะมีค่าตั้งแต่ 0 – 255 ดังนั้น IPv4 จึงมีหมายเลขได้ตั่งแต่ 0.0.0.0 ถึง 255.255.255.255 แต่ละช่วงจะมีกำหนดไว้ว่าจะใช้งานอะไรได้บ้าง

IPv4 ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น Class ชนิดต่างๆ เพื่อจุดประสงค์ในการใช้งานที่ต่างกันไป

  1. Class A เริ่มตั้งแต่ 1.0.0.1 ถึง 127.255.255.254
  2. Class B เริ่มตั้งแต่ 128.0.0.1 ถึง 191.255.255.254
  3. Class C เริ่มตั้งแต่ 192.0.1.1 ถึง 223.255.254.254
  4. Class D เริ่มตั้งแต่ 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255 ใช้สำหรับงาน multicast
  5. Class E เริ่มตั้งแต่ 240.0.0.0 ถึง 255.255.255.254 ถูกสำรองไว้ ยังไม่มีการใช้งาน

ไอพีในช่วง 127.0.0.0 ถึง 127.255.255.255 ใช้สำหรับการทดสอบระบบเท่านั้น

IP ด้านบนนี้ก็ยังถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทคือ IP ส่วนตัว (Private IP) และ IP สาธารณะ (Publish IP)

  1. Private IP คลาส A เริ่มตั้งแต่ 10.0.0.0 ถึง 10.255.255.255 Subnetmask ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.0.0.0 ขึ้นไป
  2. Private IP คลาส B เริ่มตั้งแต่ 172.16.0.0 ถึง 172.31.255.255 Subnetmask ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.240.0.0 ขึ้นไป
  3. Private IP คลาส C เริ่มตั้งแต่ 192.168.0.0 ถึง 192.168.255.255 Subnetmask ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.255.0.0 ขึ้นไป

จำง่ายๆ Private IP คลาส A-C ที่นำไปตั้งค่าได้ใน campus zone, Farm และ DMZ zone นำ IP Address ไปใช้งานกันให้ถูกด้วยจะได้ไม่ต้องมานั่งไล่แก้กันทีหลัง

การสมัครและการจัดการ IP Address

การสมัครและการจัดการ IP Address เป็นกระบวนการที่สำคัญในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์กับอินเทอร์เน็ต โดยการได้รับการจัดสรร IP Address นั้นมักจะทำได้ผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ที่มีความรับผิดชอบในการจัดสรรหมายเลข IP ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรที่รับผิดชอบ เช่น ICANN หรือ RIPE NCC การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นผ่านหลายขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นตอนการสมัคร จนถึงการตั้งค่าและการจัดการหมายเลข IP ที่ได้รับ

ในขั้นตอนแรก ลูกค้าจะต้องติดต่อกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพื่อขอรับบริการและระบุความต้องการในการใช้ IP Address อาจจะเลือกแบบสาธารณะหรือเฉพาะส่วน ตัวอย่างเช่น หากเป็นธุรกิจที่ต้องการให้บริการออนไลน์ อาจมีความจำเป็นต้องขอรับ IP Address สาธารณะ มีข้อดีในการเข้าถึงที่ง่ายและสะดวก ขณะที่ IP Address ส่วนบุคคลอาจถูกใช้งานในเครือข่ายภายในองค์กร

เมื่อได้รับ IP Address แล้ว การจัดการและติดตามการใช้ IP Address เป็นสิ่งสำคัญ ต่อการรักษาประสิทธิภาพของระบบ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้ IP Address ควรมีการวางแผนการใช้งานอย่างรอบคอบ เช่น การบันทึกการใช้งานและติดตามปริมาณการใช้ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ในการจัดการ IP Address ซึ่งสามารถตรวจสอบการทำงานและความปลอดภัยของเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการ IP Address อย่างมีระเบียบจะช่วยลดปัญหาการชนกันของหมายเลข IP และทำให้แน่ใจว่าระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำงานได้ต่อเนื่องและไม่เกิดความเสียหาย

IP Address กับความปลอดภัย

การใช้งาน IP Address มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม การเปิดเผย IP Address ก็สร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ผู้ใช้งานต้องตระหนักถึง การโจมตีทางไซเบอร์เช่น DDoS (Distributed Denial of Service) ทำให้บริการออนไลน์ไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว อาจเกิดจากการที่ผู้ไม่ประสงค์ดี ติดตามข้อมูลผ่าน IP Address ของผู้ใช้

ผู้โจมตีสามารถใช้ IP Address เพื่อสแกนหาจุดอ่อนในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับ OSI 7 Layer ทำให้ไม่เพียงแต่ข้อมูลที่ถูกขโมย แต่ยังอาจทำให้เครือข่ายทั้งหมดมีความเสี่ยงใหญ่หลวงไปด้วย ดังนั้นผู้ใช้งานจึงต้องพิจารณาสถานการณ์ของความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับ IP Address อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว

เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ ผู้ใช้งานควรใช้งาน VPN (Virtual Private Network) ซึ่งช่วยปกป้องและเข้ารหัสข้อมูลขณะที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยการสร้าง IP Address ที่ไม่สามารถถูกติดตามได้ รวมถึงการใช้งาน Firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่เหมาะสมจากภายนอก สำหรับผู้ที่ใช้เครือข่ายภายในองค์กร ควรตรวจสอบคำสั่งที่เข้าถึงระบบอย่างเคร่งครัดเพื่อลดโอกาสในการโจมตี การรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันและวิธีการรักษาความปลอดภัยของ IP Address จึงเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงความปลอดภัยของข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

การปกป้องข้อมูลส่วนตัวด้วย IP Address

ในการใช้งานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การปกป้องข้อมูลส่วนตัวถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ใช้งาน เนื่องจาก IP Address ที่ผู้ใช้งานได้รับสามารถเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับตัวตนและสถานที่ของผู้ใช้งานได้ ดังนั้น การเข้าใจและดำเนินการปกป้องข้อมูลเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการถูกติดตามและรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวในอินเทอร์เน็ต

หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันข้อมูลส่วนตัวคือการใช้ VPN หรือ Virtual Private Network ซึ่งช่วยในการเข้ารหัสการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและเปลี่ยน IP Address ของผู้ใช้งานให้เป็นที่อยู่ต่างประเทศ การใช้ VPN นี้จะทำให้ยากขึ้นสำหรับผู้ไม่ประสงค์ดีที่จะติดตามกิจกรรมออนไลน์หรือระบุตำแหน่งของผู้ใช้งานได้

นอกจากนี้ การเปลี่ยน IP Address อย่างสม่ำเสมอก็เป็นกลยุทธ์ที่ดี เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้จะยากในการติดตามความเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของผู้ใช้งานในโลกออนไลน์ เช่น การรีสตาร์ทเร้าเตอร์สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ และยังช่วยให้ข้อมูลที่ส่งและรับผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความปลอดภัยมากขึ้น

การใช้เครื่องมือและเทคนิคที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานรักษาความเป็นส่วนตัวและปกป้องข้อมูลสำคัญจากการถูกจารกรรม อย่างไรก็ตาม การตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของ IP Address และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ผู้ใช้งานมีความมั่นใจในการใช้งานอินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

อนาคตของ IP Address

ในปัจจุบัน ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงการสื่อสารทางดิจิทัลที่อิงตามมาตรฐาน OSI 7 layer ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรอบการทำงานที่ช่วยในการพัฒนาระบบเครือข่ายในอนาคต หนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญของระบบเครือข่ายคือหมายเลข IP (ip address) ซึ่งระบุอุปกรณ์ในเครือข่าย และสำคัญต่อการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ

ในปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าในเทคโนโลยี IPv6 ได้เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ข้อดีของ IPv6 คือสามารถให้หมายเลข IP ได้มากกว่าระบบ IPv4 ที่ถูกใช้ในปัจจุบัน โดยปัญหาที่เกิดขึ้นกับจำนวนที่จำกัดของ IP ใน IPv4 ทำให้เกิดความต้องการในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ IPv6 เพื่อรองรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มากมายเช่น อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อระบบเครือข่ายและการเชื่อมต่อข้อมูลเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อวิธีการที่ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งส่งผลตามมาอย่างชัดเจนต่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการใช้งาน นอกจากนี้ การเปลี่ยนไปใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีหมายเลข IP ที่หลากหลาย จะมีผลต่อความสามารถในการพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการที่ใช้เทคโนโลยีเว็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการตลาดและการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ

ทิศทางของ IP Address ในอนาคตจึงมีความสำคัญที่จะต้องติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและสิ่งที่มีการเชื่อมต่อในโลกดิจิทัล อาจกล่าวได้ว่าความสามารถในการให้บริการและการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายจะก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

บทสรุป

IP Address หรือที่เรียกกันว่า ที่อยู่ไอพี เป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ทำให้การสื่อสารในโลกดิจิตอลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อและติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว โดย IP Address จะทำหน้าที่เป็นเหมือนหมายเลขประจำตัวของอุปกรณ์นั้น ๆ เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลได้อย่างถูกต้อง และแม่นยำ

การทำงานของ IP Address เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของ OSI 7 Layer ซึ่งเป็นโมเดลมาตรฐานที่ใช้ในการพัฒนาระบบเครือข่าย โดยในระดับที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารข้อมูล IP Address จะทำงานร่วมกับโปรโตคอลอื่น ๆ เช่น TCP และ UDP เพื่อให้การส่งข้อมูลบนเครือข่ายทำได้อย่างไม่มีสะดุด การเข้าใจถึงบทบาทของ IP Address จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ตัวอย่างเช่น ในการใช้งานจะต้องรู้จักการตั้งค่าไอพีให้เหมาะสมเพื่อให้ทุกการเชื่อมต่อมีความเสถียร

นอกจากความสำคัญของ IP Address ต่อการเชื่อมต่อแล้ว การรักษาความปลอดภัยในการใช้งานก็มีความสำคัญไม่น้อย การใช้ VPN เพื่อปกปิดที่อยู่ไอพี หรือการตั้งค่าความปลอดภัยในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกโจมตีหรือเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญในทุกกระบวนการ เพื่อสร้างระบบการสื่อสารที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในโลกดิจิตอล