SASE คืออะไร?

SASE หรือ Secure Access Service Edge เป็นแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองกับความต้องการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมระบบเครือข่ายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกันในโครงสร้างแบบคลาวด์ยุคดิจิทัล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การเข้าถึงทรัพยากรขององค์กรมีความปลอดภัยจากทุกที่ ทุกเวลา และเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่การทำงานจากระยะไกล (Remote Work) ได้รับความนิยมมากขึ้น ในยุคที่ข้อมูลอยู่ในทุกที่และความต้องการในการเข้าถึงข้อมูลที่ปลอดภัยก็ยิ่งสูงขึ้น SASE จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์นี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอความปลอดภัยและการเข้าถึงเครือข่ายในที่เดียว
SASE ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่สำคัญ เช่น การเข้าถึงที่ปลอดภัยผ่านคลาวด์ การจัดการการเข้าถึงที่ยืดหยุ่น โซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการดูแลรักษาปัญหาด้านเครือข่ายในรูปแบบระบบบริการ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการและควบคุมการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ละองค์ประกอบของ SASE ทำงานร่วมกันอย่างสัมพันธ์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การระบุผู้ใช้ การตรวจสอบการเข้าถึง ไปจนถึงการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเครือข่าย
องค์ประกอบหลักของ SASE มีอยู่ 5 อย่างสำคัญ ดังนี้
1.SD-WAN (Software-Defined Wide Area Network)
ระบบเครือข่ายที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างสาขาและศูนย์ข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ ทำให้จัดการได้ง่าย และรองรับการทำงานแบบกระจาย
2.SWG (Secure Web Gateway)
ทำหน้าที่กรองและควบคุมการใช้งานเว็บไซต์ของผู้ใช้ ป้องกันมัลแวร์ ฟิชชิ่ง หรือเว็บไซต์ไม่เหมาะสม
3.CASB (Cloud Access Security Broker)
ตรวจสอบและควบคุมการเข้าถึงแอปพลิเคชันบนคลาวด์ เช่น Microsoft 365, Google Workspace หรือ Salesforce ให้สอดคล้องกับนโยบายขององค์กร
4.ZTNA (Zero Trust Network Access)
หลักการ “ไม่ไว้ใจใครโดยอัตโนมัติ” ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ภายในหรือภายนอกเครือข่าย ต้องมีการยืนยันตัวตนและอนุญาตเฉพาะการเข้าถึงที่จำเป็นเท่านั้น
5.FWaaS (Firewall as a Service)
ไฟร์วอลล์ในรูปแบบคลาวด์ ให้การป้องกันเชิงลึก เช่น การควบคุมแอปพลิเคชัน การตรวจสอบทราฟฟิก และการบล็อกการโจมตี
เมื่อรวมกัน SASE จะช่วยให้การจัดการความปลอดภัยในยุคที่ผู้ใช้ทำงานจากหลายสถานที่มีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และง่ายต่อการบริหารจัดการ

ประโยชน์ของ SASE ต่อธุรกิจ
SASE เป็นแนวทางใหม่ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมเอาฟังก์ชันการทำงานของเครือข่ายเข้ากับการรักษาความปลอดภัยในขอบเขตเดียวกัน โดยสร้างโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับองค์กรในยุคดิจิทัล ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจสามารถรับประโยชน์มากมายจากการนำ SASE มาใช้
- ประการแรก การนำ SASE เข้ามาใช้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล ด้วยการรวมโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายและบริการรักษาความปลอดภัยไว้ในที่เดียว ทำให้องค์กรสามารถลดเวลาในการจัดการข้อมูล ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสำนักงานสาขาและผู้ใช้มีความสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งยังมีการลดปัญหาความแออัดของเครือข่าย ซึ่งจะช่วยในการส่งข้อมูลที่มีอยู่ในคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ SASE ถูกออกแบบมาเพื่อระบุและป้องกันภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อข้อมูลและระบบขององค์กรได้อย่างแม่นยำ ระบบนี้ช่วยให้การเข้าถึงแอปพลิเคชันมีความปลอดภัย โดยปรับการรักษาความปลอดภัยให้เหมาะกับผู้ใช้ที่กำลังทำงานจากระยะไกล ดังนั้นจะช่วยลดโอกาสที่ข้อมูลจะถูกเจาะระบบได้
นอกจากนี้ SASE ยังมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงการเข้าถึงบริการคลาวด์ สถิติแสดงให้เห็นว่าองค์กรที่นำ SASE มาใช้มักจะมีความเร็วในการเข้าถึงบริการคลาวด์มากขึ้น และความพึงพอใจของผู้ใช้ที่สูงขึ้น อย่างเช่น กรณีศึกษาจากองค์กรที่นำ SASE เข้ามาช่วยในการดำเนินงานพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและลดปัญหาความล่าช้าในการเข้าถึงข้อมูล

วิธีการเลือก SASE ที่เหมาะสม
การเลือกใช้บริการ SASE ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการเสริมสร้างความปลอดภัยในเครือข่ายและรองรับการดำเนินงานในยุคดิจิทัล ก่อนที่จะตัดสินใจเลือก บริษัทผู้ให้บริการ SASE
- จำเป็นต้องพิจารณาความต้องการเฉพาะขององค์กร เช่น ขนาดขององค์กร ประเภทของการใช้งาน และโครงสร้างพื้นฐานทาง IT ที่มีอยู่ นอกจากนี้องค์กรควรให้ความสำคัญกับความสามารถในการปรับขนาดของบริการ SASE ที่จะเลือกใช้ เพื่อให้สามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจได้ในอนาคต
- อีกปัจจัยที่สำคัญคือฟีเจอร์ความปลอดภัยที่องค์กรต้องการ โดยรวมถึงการป้องกันจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต การเข้ารหัสข้อมูล และการตรวจสอบเหตุการณ์ที่ผิดปกติ องค์กรควรประเมินความเข้ากันได้ของฟีเจอร์เหล่านี้กับความต้องการด้านความปลอดภัยภายใน และต้องมั่นใจว่าบริการ SASE ที่เลือกนั้นสามารถป้องกันภัยคุกคามต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสนับสนุนด้านบริการลูกค้าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งควรตรวจสอบว่าผู้ให้บริการ SASE มีโครงสร้างการสนับสนุนที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรหรือไม่ รวมถึงเวลาตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ ควรมีข้อมูลและรีวิวจากผู้ใช้งานก่อนหน้าเพื่อช่วยในการประเมินคุณภาพบริการ นอกจากนี้ การศึกษาเอกสารทางเทคนิคและการนำเสนอของผู้ให้บริการยังช่วยให้เข้าใจถึงวิธีการทำงานและเทคโนโลยีที่ใช้ในการให้บริการ SASE ได้ดียิ่งขึ้น
อนาคตของ SASE ในการรักษาความปลอดภัยไอที
อนาคตของ SASE ในการรักษาความปลอดภัยไอที แสดงถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงทางด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และแนวทางที่องค์กรต่างๆ จะนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในโลกดิจิทัลที่ มีความซับซ้อนมากขึ้น ในขณะที่องค์กรมีการย้ายไปยังโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และการทำงานจากที่ใดก็ได้ การรวมฟังก์ชันการรักษาความปลอดภัยและการเข้าถึงเครือข่าย ในรูปแบบของ SASE จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการความเสี่ยงและป้องกันการโจมตีจาก Cyber Threats
ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI และ Machine Learning จะเข้ามาเสริมสร้างความสามารถของ SASE ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้และตรวจจับภัยคุกคามในเวลาจริง ซึ่งจะทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการจัดการข้อมูลอย่าง Blockchain จะช่วยเพิ่มความไว้วางใจให้กับการแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในองค์กร
อย่างไรก็ตาม การนำ SASE มาใช้ให้เกิดผลดีมีความท้าทายมากมาย อาทิเช่น ความซับซ้อนของการผสานเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในระบบเดิม และ ความจำเป็นในการฝึกอบรมพนักงานให้มีความเข้าใจในเทคโนโลยีใหม่ๆ การจัดการกับความเสี่ยงนี้อาจสร้างโอกาสให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในวงการเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยองค์กรที่สามารถปรับตัวได้เร็วที่สุดจะสามารถใช้ SASE เป็นเครื่องมือในการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคต