วันพุธ, 21 พฤษภาคม 2568

การต่อ MA Fortigate และเลือก license Fortigate แบบไหนดี

Fortigate เป็นโซลูชันที่ได้รับความนิยมสูงในด้านการรักษาความปลอดภัยเครือข่าย โดยบริษัท Fortinet ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์นี้เพื่อตอบสนองความต้องการในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในองค์กรต่าง ๆ Fortigate ทำหน้าที่เป็นไฟร์วอลล์ (Firewall) รุ่นถัดไป นอกจากการปกป้องเครือข่ายจากภัยคุกคามต่าง ๆ ยังมีฟีเจอร์ขั้นสูงอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเครือข่ายอีกด้วย

ภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ๆที่มีการอับเดทอยู่ตลอด ทำให้ฟีเจอร์สำคัญของ Fortigate ที่ประกอบไปด้วย ระบบป้องกันการบุกรุก (Intrusion Prevention System – IPS) ที่สามารถตรวจจับและป้องกันการโจมตีที่หลากหลาย รวมถึงฟีเจอร์ VPN (Virtual Private Network) ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้งานภายนอกกับเครือข่ายภายในมีความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการป้องกันมัลแวร์ เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลภายในองค์กร

การนำ Fortigate มาใช้ในเชิงธุรกิจช่วยให้บริษัทสามารถรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สินทางปัญญาจากภัยคุกคามที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการติดตั้ง Fortigate องค์กรจะสามารถมุ่งเน้นที่การดำเนินงานหลักโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านความปลอดภัยของเครือข่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลนี้

วิธีการต่อ MA Fortigate

การต่อ Management Access (ma) สำหรับอุปกรณ์ Fortigate เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการจัดการและควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ของระบบเครือข่าย การตั้งค่าเพื่อให้สามารถเข้าถึงการจัดการได้อย่างสะดวกและปลอดภัยนั้นรวมถึงหลายๆ ขั้นตอน ตั้งแต่การเชื่อมต่อทางกายภาพไปจนถึงการกำหนดค่า IP Address ที่เหมาะสม

ขั้นตอนแรกที่ต้องทำคือการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Fortigate กับเครือข่ายของคุณ โดยทั่วไปควรร้อยสาย Ethernet จากพอร์ตเชื่อมต่อที่กำหนดไปยังอุปกรณ์ของคุณ ซึ่งอาจจะเป็นคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่จะถูกใช้ในการจัดการ Fortigate หลังจากเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการกำหนดค่า IP Address ให้กับเครื่องที่ใช้เชื่อมต่อ เพื่อให้สามารถเข้าถึง Management Interface ได้

เมื่อเครื่อง Client มีการตั้งค่า IP Address ที่ถูกต้องแล้ว เราสามารถเข้าสู่ Management Interface ของ Fortigate ได้โดยการเปิดเว็บบราวเซอร์แล้วพิมพ์ IP Address ของ Fortigate ที่เราได้รับการกำหนดไว้ มักจะอยู่ที่พอร์ต 80 หรือ 443 ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า

หลังจากเข้าสู่หน้าล็อกอินของ Fortigate จะมีการร้องขอให้ป้อนชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่าน ซึ่งค่าพื้นฐานจะอยู่ในคู่มือการใช้งานหรือสามารถจัดการได้จากผู้ดูแลระบบ หากทุกอย่างถูกต้องเรา จะสามารถเข้าถึงระบบได้

ในกรณีที่ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ตามที่ต้องการ สิ่งที่ควรตรวจสอบคือ สายเชื่อมต่อ, การตั้งค่า IP Address, และการตั้งค่าความปลอดภัยที่อาจมีการปิดกั้นการเข้าถึงจาก IP Address ที่ใช้ นอกจากนี้ยังสามารถดูที่ไฟ LED บนเครื่อง Fortigate เพื่อดูสถานะการเชื่อมต่อที่ถูกต้องและการทำงาน

การต่อ License ของ FortiGate (เช่น FortiGuard Services) มีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

1.ตรวจสอบสถานะ License เดิมก่อน

  • เข้าหน้า Web GUI ของ FortiGate
  • ไปที่ Dashboard → Status
  • ดูที่ License Information หรือ FortiGuard Information เพื่อเช็กวันหมดอายุ

2.เตรียมข้อมูล Serial Number

  • Serial Number ของ FortiGate (จะมีในเครื่อง หรือดูจากหน้า Web GUI ได้)
  • จำเป็นต้องใช้ Serial Number นี้ตอนทำการต่ออายุ

3.ติดต่อ Partner หรือ Reseller

  • ติดต่อบริษัทตัวแทนจำหน่าย Fortinet (Reseller) ที่ได้รับการแต่งตั้ง เช่น True, Synnex, SiS หรือที่คุณเคยซื้อ FortiGate
  • แจ้ง Serial Number และบริการที่ต้องการต่อ (เช่น UTM, Web Filter, Antivirus, IPS, FortiSandbox ฯลฯ)
  • บางรายอาจขอให้กรอกฟอร์มเพื่อทำ Quotation

4.ซื้อ License ใหม่

  • หลังชำระเงิน จะได้ License Certificate หรือ Registration Code

5.ทำการต่ออายุ License

มี 2 วิธีที่ทำได้:

(A) อัตโนมัติ (Online)

  • เข้า Web GUI → ไปที่ System → FortiGuard
  • กด Update License (เครื่องต้องต่อ Internet ได้)

(B) Manual (Offline) ถ้าเครื่องไม่ได้ต่อ Internet

  • เข้าไปที่ Fortinet Support Portal
  • Login แล้วเลือก “Asset → Register/Renew” ใส่ Serial Number และ Activation Code
  • ดาวน์โหลดไฟล์ .lic แล้ว Upload เข้า FortiGate

หมายเหตุ:

  • ถ้า License หมด จะกระทบบางบริการ เช่น IPS/Antivirus/Web Filter ไม่อัปเดต
  • แต่ Firewall พื้นฐาน (เช่น policy-based routing) ยังใช้งานได้

การเลือก license Fortigate

ในการเลือก license Fortigate มีความสำคัญมากต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบเครือข่ายของธุรกิจคุณ Fortigate มีหลายประเภท license ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร โดยทั่วไปแล้ว license จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ license สำหรับการใช้งานพื้นฐาน และ license สำหรับฟีเจอร์เพิ่มเติมที่หลากหลาย

เริ่มต้นที่ license พื้นฐาน ซึ่งมักจะรวมถึงฟีเจอร์หลักในการรักษาความปลอดภัยอย่างการตรวจสอบจราจรและการป้องกันการเข้าถึงจากภัยคุกคามทั่วไป ฟีเจอร์ที่นำเสนอใน license ประเภทนี้จะเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัด แต่ต้องการการป้องกันเบื้องต้นจากการโจมตี

ในขณะที่ license ฟีเจอร์เพิ่มเติมนั้นจะเปิดให้เข้าถึงบริการต่างๆ เช่น ระบบป้องกันการบุกรุก (IPS), ระบบป้องกันไวรัส, และการจัดการแบนด์วิธ โดยทั่วไป license ประเภทนี้จะเหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ที่ต้องการการควบคุมระบบรักษาความปลอดภัยที่กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในการเลือก license ที่เหมาะสมกับความต้องการขององค์กร ควรพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดขององค์กร งบประมาณที่มี การใช้งานที่คาดหวัง และลักษณะของภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟีเจอร์เฉพาะที่มีในแต่ละประเภท license จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้นในการปกป้องทรัพยากรของคุณ

License FortiGate มีแบบไหนบ้าง

1.License พื้นฐาน (Base Subscriptions)

คือบริการเสริมที่ FortiGate ต้องต่ออายุเพื่อให้ทำ Security Update ได้ เช่น

ประเภทรายละเอียด
FortiGuard Web Filteringตัวกรองเว็บไซต์ตามหมวดหมู่ (block เว็บโป๊, เว็บอันตราย ฯลฯ)
Antivirusสแกนไวรัสในทราฟฟิก, ดาวน์โหลดไฟล์
Intrusion Prevention System (IPS)ป้องกันการเจาะระบบ, สแกน packet ที่เข้าออก
Application Controlบล็อก/ควบคุมแอปพลิเคชัน เช่น Youtube, Facebook ฯลฯ
AntiSpamกรองอีเมลขยะ (SMTP/POP3)
FortiSandbox Cloudส่งไฟล์ที่น่าสงสัยไปสแกนใน Sandbox อัตโนมัติ
FortiCareSupport การเคลมเครื่อง, Technical Support กับ Fortinet (สำคัญมาก!)

2.License แบบ Bundle (ชุดรวมหลายบริการ)

Fortinet จะขายเป็น “แพ็กเกจ” รวม License หลายตัวเข้าไปด้วยกัน เช่น

ชื่อแพ็กเกจรายละเอียด
UTP Bundle (Unified Threat Protection)รวม Antivirus, IPS, Application Control, Web Filtering, FortiCare
Enterprise Protection Bundleรวมครบทุกบริการ UTP + AntiSpam + FortiSandbox Cloud
360 Protection Bundleรุ่น Top สุด รวมทุกอย่าง + เพิ่มการบริหารแบบ Fabric Management Cloud, SOC Services

หมายเหตุ:
แต่ละ Bundle จะเลือกได้ว่า จะซื้อแบบ 1 ปี / 3 ปี / 5 ปี ตามความต้องการ และราคาก็จะถูกลงตามระยะยาวที่ซื้อ

ราคาคร่าว ๆ (ขึ้นกับรุ่น เช่น FortiGate 40F, 60F, 100F ราคาต่างกันเยอะ)

  • FortiCare อย่างเดียว → ถูกสุด (ประมาณ 2-5 หมื่นบาท/ปี)
  • UTP Bundle → ประมาณ 3-6 หมื่นบาท/ปี
  • Enterprise Protection → ประมาณ 5-9 หมื่นบาท/ปี
  • 360 Protection → แพงสุด อาจจะเริ่มที่ 1 แสนบาทขึ้นไป/ปี

*(ราคาโดยประมาณ ต้องเช็กกับตัวแทนขายอีกทีนะคะ)

สรุปง่าย ๆ

  • ถ้าเอาถูกสุด → ต่อเฉพาะ FortiCare (ได้ประกัน+Support แต่ไม่มี Update Security)
  • ถ้าเน้นความปลอดภัยทั่วไป → ซื้อ UTP Bundle
  • ถ้าองค์กรใหญ่มาก หรืออยากได้ระบบป้องกันแบบครบ → ไปที่ Enterprise หรือ 360 Protection

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Fortigate

การใช้ Fortigate เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในแวดวงเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์นี้จะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อเสียที่ผู้ใช้งานควรพิจารณาก่อนการตัดสินใจใช้งาน

ในด้านข้อดีของ Fortigate ผู้ใช้สามารถมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยที่สูง ด้วยการใช้เทคโนโลยีและกลไกที่ทันสมัย เช่น การป้องกันภัยคุกคามที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ข้อมูลขององค์กรมีความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ Fortigate ยังมีระบบการจัดการที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ช่วยให้การติดตั้งและการดูแลรักษาง่ายขึ้น ทั้งยังมีการตรวจสอบและรายงานผลอย่างละเอียด ซึ่งทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในทางกลับกัน ข้อเสียของ Fortigate อาจมาจากค่าใช้จ่ายที่สูง เนื่องจากลิขสิทธิ์และบริการเสริมที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้งานต้องเตรียมงบประมาณให้เพียงพอสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์นี้ นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านความซับซ้อนของการตั้งค่าในบางฟังก์ชัน ก็อาจทำให้ผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ทางเทคนิคต้องใช้เวลามากในการเรียนรู้และเข้าใจ ระบบ

ดังนั้น การประเมินข้อดีและข้อเสียของการใช้ Fortigate จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเลือกโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ